ครั้งแรกกับประสบการณ์ครั้งใหม่ในการไปปีนหน้าผาจริงที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดินทางด้วยตัวคนเเดียว พร้อมที่จะออกผจญภัยกันหรือยัง?
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ชัดเจน แต่มีณแค่อยากไปประเทศที่ไม่เคยไปบ้าง และฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพราะมีณคำนวณไว้หลายๆอย่าง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่ไม่น่าจะแพงกับความเป็นอยู่ที่นั่น ประกอบกับเพื่อนฟิลิปปินส์ของมีณมีชื่อว่า โจ (ผู้หญิงนะ) ก็ยุยงแถมแนะนำว่าให้ไปเยี่ยมประเทศของเค้า มีณเลยถือโอกาสเช็คตั๋วเครื่องบินคร่าวๆ แล้วก็ จ๊ะเอ๋!! ตั๋วถูกมาก เผอิญไปเจอสายการบินของ Cebu ในราคาไม่เกินสองพัน เพื่อนโจก็ยุทันที ซื้อเลย ซื้อเลย แต่เป็นตั๋วแบบขาเดียวนะ ฮ่าๆ แต่มีณก็ตามใจเพื่อน ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมเลยถือโอกาสไปเที่ยวพักผ่อน รวมถึงทริปปีนหน้าผาจริงที่ Igbaras
การเตรียมตัวครั้งนี้นอกจากอุปกรณ์หน้าผาตามรูปภาพที่โชว์บ้างบนแล้ว มีณยังต้องเตรียมอาหาร รวมถึงของฝากจากเหล่าพวกเพื่อนพ้องในฟิลิปปินส์ ที่มีทั้ง มาม่า ปลากระป๋อง น้ำพริก ผงชานม-ชามะนาว-ชาเขียว ที่มีณสามารถเตรียมไปให้ได้ แต่มีณไม่สามารถพกโรตี หรือ ข้าวเหนียวมะม่วงไปให้หรอกนะ (กระเป๋าจะเกินลิมิตอยู่แล้ว) แถวไปครั้งนี้มีณได้ตรวจสอบสภาพอากาศซึ่งจะค่อนข้างฝนตก เปียกชื้น จึงต้องเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย
ดูจากแผนที่เลย จากเมืองมะนิลา (Maynila) ไปเมือง อิกบาราส (Igbaras) เราก็ต้องเดินทางโดยสายการบินเช่นเคย Domestic เมื่อไปถึงนั่งรถ taxi ไปที่ terminal Mohon เพื่อนั่งรถ Jeepney ของบ้านเค้าไปที่ภูเขาของอิกบาราส ซึ่งระหว่างทางผ่านทะเล ผ่าน 7-11 (ขาดไม่ได้จริงๆ) ผ่านเด็กนักเรียนตัวเล็ก ยันตัวโต ผ่านรถตุ๊กๆสามล้อ (กะทัดรัด น่ารักมาก) จากนั้นเริ่มมองเห็นภูเขา ได้กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ ใบหญ้า รู้สึกสัมผัสถึงธรรมชาติจริงๆ บริสุทธิ์มาก จากนั้นรถ Jeepney จอดที่ตีนเขา หลังจากนี้คือของจริง คือต้องนั่งมอเตอร์ไซค์วิบาก เพื่อขึ้นเขา แล้ววันนั้นอากาศชื้น ฝนตกเมื่อคืน มีณก็กังวลๆอยู่ ว่าจะผ่านไปยังไง เมื่อไปถึงครึ่งทางมีสะพานที่ยังสร้างไม่เสร็จ อันนี้ต้องลงเดินข้ามสะพาน แลัวจากนั้นจะมองเห็นความชันของภูเขาที่ต้องเพิ่งพามอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆ พาพวกเราขึ้นไป (ที่สำคัญต้องกอดคนขับให้แน่นๆ) ใช้เวลาทั้งหมดในการเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง
(ภาพประกอบอยู่ข้างล่าง)
และในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่พัก อยู่บนภูเขา ที่พักเป็นบ้านไม้ไผ่สองชั้น ข้างในมีห้องกว้าง มีโต๊ะกับเก้าอี้ จากนั้นอีกห้องเป็นห้องครัว และห้องน้ำด้านข้าง ชั้นสองเป็นห้องนอน ห้องใหญ่ห้องเดียว ซึ่งทุกคนสามารถนอนบน Hammok หรือนอนบนพื้น (จะมีผ้าปูรองให้กับหมอน) อากาศที่นี่ถือว่าเย็นนิดๆเลย (มีณมาช่วงพายุเข้าพอดี แต่ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ)
เหมือนย้อนกลับมาใช้ชีวิตในสมัยโบราณ สัญญาณโทรศัพท์บอกเลยว่า ไม่มีหรือหายากมาก ที่ห้องครัวต้องใช้กากมะพร้าวในการจุดไฟ ไม่มีเตาหรือไมโครเวฟ ห้องน้ำ ไม่มีน้ำอุ่นมีแต่น้ำเย็นๆจากฝน ที่รองน้ำเก็บไว้ แต่โดยรวมทุกอย่างคือรู้สึกอบอุ่นมาก ทุกคนเป็นกันเอง ช่วยกันดูแล ช่วยกันทำอาหาร ช่วยกันทำความสะอาด โดยวันแรกที่มีณไปถึง มีณสลบอยู่ที่นอนตั้งแต่ 11 โมงเช้ายัน 6 โมงเย็น หลายชั่วโมงเลย (จนเพื่อนๆที่มาด้วยกัน สงสัยว่ามีณเป็นอะไรหรือเปล่า) ตื่นอีกทีกลางดึก เพราะเค้าเรียกกินอาหารเย็นกัน Miel ทำสปาร์เก็ตตี้ให้กิน
จากที่พักไปที่หน้าผาใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 10 นาที เมื่อมาถึงที่หน้าผา บอกได้เลยว่าสวยมาก ถึงแม้จะมีแค่ sector หน้าเดียว แต่ตอนเดินก็ต้องระวังตกด้วย สภาพหินของที่นี่เป็นแบบ Lime stone สีขาว คล้ายๆที่น้ำผาป่าใหญ่บางเส้นทาง
ตัวจับที่นี่เป็นแบบมนๆ ไม่คมมาก แต่มีแนวแบบ crimp และ poctket เยอะ ถ้าปีน 3 วันติดกันเหมือนมีณนี่ แสบมือมาก โดยเฉพาะนิ้ว สุดท้ายก็คมอยู่ดี ฮ่าๆ ส่วนเรื่องการวางเท้า สามารถเหยียบได้ทุกอย่างเลย ถึงแม้บางครั้งจะคิดว่าเหยียบไม่ได้ก็เถอะ แต่ที่จริงเหยียบได้ และที่สำคัญหาตัวจับยากมาก ถ้าเค้าไม่ได้ Chalk mark ไว้นะ มีณมองไม่เห็นจริงๆว่าจะจับได้
สามารถดู topo ได้ที่ The crag

ถือว่าเป็นความโชคดีของมีณเลยก็ว่าได้ที่ได้มาปีนหน้าผาช่วงนี้ และเวลานี้ (พายุเข้า) ถึงแม้ฝนจะตก แต่หน้าผาก็แห้ง ไม่มีอุปสรรคต่อการปีนจริงๆ มีณเคยปีนเส้นทางหนึ่งที่ยาว 35 เมตร (สำหรับ warm up) จำได้ว่าตอนขึ้นแดดออก แต่ปีนไปได้แค่ 5 เมตร ลมเริ่มมา จากนั้นปีนไปได้ 20 เมตร ฝนตกละจ้า แล้วลงมาตัวเปียกเลย ฮ่าๆ


เส้นทางที่นี่มีแต่เส้นทางระดับ 5a ไปจนถึง 8c (Miel กำลังทำให้จบอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่จบจนกลับบ้าน) มีณประลองด้วย 8a+ วันแรกเลย ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ยังไม่มีใครปีนจบมาก่อน แล้ววันนั้นมี Miel , Purse และ มีณ ที่จบพร้อมกันสามคนในวันเดียว Miel จึงตั้งชื่อเส้นทางนี้ว่า Neung Song Saam (หนึ่ง สอง สาม) เป็นภาษาไทย

หลังจากนั้นเราต่างคนต่างแยกย้ายปีน ที่จริงมีณไม่มี project อะไรเลย มีณกะว่ามาปีนเพื่อความสนุกล้วนๆ แต่สุดท้าย ก็โดนให้ปีนตาม Miel และ Purse สองคนนี้เค้ามีเส้นทางที่อยากจะปีนกันซึ่งส่วนใหญ่ก็เลข 8 นั่นแหละ
มีเส้นทางหนึ่งที่ Miel ปีนอยู่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยังไม่มีใครเคยปีนมาก่อนอีกเช่นกัน มีณกับ Miel เลยลองกันสองคน ว่าใครจะได้เป็น First Ascent (FA) คนแรกของเส้นทางนี้ มีณลองไปสองครั้ง Miel ลองไปสามครั้ง สุดท้าย ผู้ชนะคือ Miel พร้อมตั้งชื่อในเส้นทางนี้ว่า Power Inverter 7c+/8a

หลังจากนั้นก็ลองปีนเส้นทางอื่น จนมือของมีณแสบไปหมด ก็ได้เวลากลับที่พัก เตรียมมื้ออาหารเย็น รวมถึงนั่งเล่นไพ่ และคุยกันผ่อนคลาย


สองวันสุดท้ายก่อนกลับ มีณได้ปีน project ของ Purse ซึ่งเป็นเกรด 8b ที่นิยมที่สุดในหน้าผาที่นี่ เป็นการตัดสินใจที่ช้ามาก เพราะร่างกายเหนื่อยไปหมดแล้ว แต่มีณก็ไม่ละความพยายาม จึงได้ลองเส้นทางนี้ที่มีความสูง เกือบ 25 เมตรเห็นจะได้ ประกอบกับมี crux 3 ช่วง และมีช่วงพักบ้าง วันแรกที่ลองนึกว่าจะปีนไม่ได้ จนเหลือ 2 clip สุดท้าย มีณตก เกือบจบแล้วเชียว แต่เนื่องจากฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงต้องกลับที่พัก แล้วพรุ่งนี้มาลุยต่อ

และแล้ววันนี้ก็มาถึง ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนกลับเมืองมะนิลาคืนนี้ ช่วงเช้ามีณลังเลว่า จะปีนเลข 8 เลย หรือว่าต้องวอร์มอัพก่อน เพราะปกติมีณจะวอร์มอัพก่อน แต่ด้วยร่างกายที่ปีนติดต่อกันมาหลายวัน ค่อนข้างเหนื่อยล้า เผลอๆอาจจะปีนได้แค่หนึ่งหรือสองเส้นทาง คิดไปคิดมา และก็โอเค ปีนเลข 8 เลย แล้ววอร์มข้างบนหน้าผาไปในตัว
แต่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ระหว่างปีนมีณเท้าหลุดบ่อยมาก ทำให้แขนที่จับหน้าผาต้องเกร็งหนักมากกว่าเดิม แต่ข้อดีของมีณก็คือ มีณสามารถพักบนหน้าผาได้นาน และเรียกแรงคืนกลับมาได้ ถึงแม้จะใช้เวลาในการปีนนานไปหน่อยก็เถอะ

และแล้วมาถึง 2 clip สุดท้าย เหมือนเมื่อวานเป๊ะ มีณกลัวจะตกอีก ครั้งนี้เลยพักนานอีกหน่อย บนหน้าผาตรงตัวจับที่พอจับได้ เพราะ move สุดท้ายเป็น move dynamic และกึ่งกระโดดสำหรับมีณ เลยขอเวลาทำใจแปปนึง และก็….จับตัวสุดท้ายและ clip จบด้วยความเร็วแสง และแสดงอาการดีใจหลังจากนั้นคือ เย้! ปีนจบแล้วภายใน 3 attempts ดีใจมาก ถือว่าเป็นรางวัลก่อนกลับบ้านเลยทีเดียว

โดยรวมแล้ว มีณสนุกกับทริปนี้มาก จนทำให้ลืมวันลืมคืนเลย อยากใช้ชีวิตแบบนี้ตอนวันหยุดพักผ่อน ทำให้รู้สึกดีจริงๆ เหมือนไม่ต้องกังวล หรือสนใจอะไรในงานที่เคยมีอยู่ในหัว ณ ตอนนั้น คิดแต่ ปีน ปีน กิน นอน แค่นี้เอง
สนุกสนานกับพูดคุยเหล่าเพื่อนพ้องที่ไม่ค่อยได้เจอกันในสถานที่แบบนี้ (ส่วนใหญ่เจอแต่งานแข่งขัน) ทำให้ได้มองเห็นมุมมองที่หลากหลาย ของแต่ละบุคคล ในทริปนี้ ประกอบไปด้วย หัวหน้าใหญ่ Miel Pahati, Marte Soliza, Noel Cabauatan ช่างภาพฝีมือดี, Charm Bartolay, Jo R Ala และ John Joseph Veloria นักกีฬาจากทีมชาติฟิลิปปินส์

ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก Black Diamond Thailand และ Mad Rock Thailand ที่คอยช่วยสนับสนุน ให้มีณได้ทำในสิ่งที่ชอบ และคอยผลักดันให้ก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ
หากนักปีนคนไหนอยากจะลองสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ หรืออยากลองเปลี่ยนสถานที่ โดยที่มีณไปครั้งนี้ ไม่ถือว่าใช้ค่าใช้จ่ายเยอะเลยนะ ถูกกว่าที่กระบี่อีก ค่าครองชีพที่นี่ถูกมาก แล้วผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่หากถามถึงสภาพจราจรบนถนน ในตัวเมือง บอกได้เลยว่า พอๆกับกรุงเทพ ไม่ก็รถติดหนักกว่ากรุงเทพอีก แถมที่นี่ชอบบีบแตรตลอดเวลา (คล้ายประเทศจีน)
สามารถติดต่อได้ที่ Climb Philippines ซึ่งทางนั้นยินดีที่จะตอบคำถาม และคอยช่วยเหลือ แนะนำ หรือเป็นไกด์นำทางให้
สุดท้าย ถ้าอยากรู้ว่ากลับเข้าเมืองกันยังไง? มีณตอบได้เลยว่า กลับเหมือนที่ทำอย่างขามา คือ นั่งมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ต่อรถ Jeepney และ taxi ไปสนามบิน (สัมผัสกับการลงเขาแบบหลุม บ่อ โดยใช้เวลาเร็วกว่า ขามา อย่างมาก)